ผู้เขียน หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: โรคเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)  (อ่าน 13 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 689
    • ดูรายละเอียด
หมอประจำบ้าน: โรคเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)
« เมื่อ: วันที่ 4 กรกฎาคม 2025, 17:30:19 น. »
หมอประจำบ้าน: โรคเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)

โรคเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush) หรือที่เรียกว่า Candidiasis (แคนดิดาซิส) เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อราในช่องปาก โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Candida albicans ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ตามปกติในช่องปากและลำไส้ของคนทั่วไป แต่เมื่อเชื้อราชนิดนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากผิดปกติจนเสียสมดุล ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้

กลุ่มเสี่ยงที่พบโรคเชื้อราในช่องปากบ่อย
ปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะช่วยควบคุมปริมาณเชื้อรา Candida ไม่ให้เจริญเติบโตมากเกินไป แต่ในบางภาวะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หรือมีปัจจัยอื่น ๆ ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ง่ายขึ้น:

ทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก: ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนาเต็มที่

ผู้สูงอายุ: ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงตามวัย และอาจมีการใช้ฟันปลอม

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV/AIDS, ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา, ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิ

ผู้ป่วยเบาหวาน: โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี เพราะน้ำตาลในน้ำลายจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา


ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด:

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ทำลายแบคทีเรีย "ดี" ในช่องปาก ทำให้เชื้อราเพิ่มจำนวนได้

ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroids): โดยเฉพาะชนิดพ่นสำหรับโรคหอบหืด หรือชนิดรับประทาน ซึ่งกดภูมิคุ้มกัน

ผู้ที่ใส่ฟันปลอม: โดยเฉพาะถ้าทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดี หรือใส่ฟันปลอมตลอดเวลา

ผู้ที่มีภาวะปากแห้ง: เช่น จากการใช้ยา หรือโรคบางชนิด

ผู้ที่สูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่อาจกระตุ้นให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

ภาวะขาดสารอาหารบางชนิด: เช่น การขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 หรือโฟลิก


อาการของโรคเชื้อราในช่องปาก

ในระยะแรกเริ่มของโรค เชื้อราในช่องปากอาจไม่แสดงอาการใดๆ ที่ชัดเจน แต่หากการติดเชื้อลุกลามและเพิ่มจำนวนมากขึ้น อาจสังเกตเห็นอาการดังต่อไปนี้:

คราบขาวขุ่นคล้ายนมบูด หรือคราบนม: มักพบบริเวณลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก เหงือก และบางครั้งอาจลามไปที่ต่อมทอนซิล คราบเหล่านี้อาจมีสีครีมหรือออกเหลืองเล็กน้อย

เลือดออกง่าย: หากพยายามขูดหรือถูคราบขาวออก อาจมีเลือดซิบๆ ออกมา

ปวดแสบปวดร้อนในช่องปาก: โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ

ลิ้นไม่รับรส/สูญเสียการรับรส: อาจรู้สึกว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป

เจ็บคอ กลืนลำบาก หรือเจ็บปวดเวลากลืน: หากเชื้อราลุกลามลงไปในลำคอหรือหลอดอาหาร อาจรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ

มุมปากแตก หรืออักเสบ (Angular Cheilitis): มีรอยแดง แตก หรือเป็นแผลที่มุมปาก

สาเหตุที่ทำให้เชื้อรา Candida เพิ่มจำนวน
อย่างที่กล่าวไปว่าเชื้อรา Candida เป็นปกติอยู่ในช่องปากได้ แต่จะก่อโรคเมื่อเสียสมดุล ซึ่งเกิดจาก:

ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาสเตียรอยด์

ภาวะเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น เบาหวาน หรือภาวะที่ทำให้ปากแห้ง

สุขอนามัยช่องปากไม่ดี: โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือไม่ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

อาหาร: การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
โดยทั่วไป เชื้อราในช่องปากมักไม่เป็นอันตรายร้ายแรง และสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา หรือเป็นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมากๆ เชื้อราอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น:

หลอดอาหาร: ทำให้กลืนลำบาก เจ็บปวดมาก

ระบบทางเดินอาหาร: อาจส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหาร

ปอด ตับ หรือผิวหนัง: ในกรณีที่รุนแรงมาก หรือในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ที่ไม่ได้รับการรักษา เชื้อราสามารถแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและอวัยวะภายในได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต


การวินิจฉัย

แพทย์หรือทันตแพทย์มักวินิจฉัยโรคเชื้อราในช่องปากได้จากการดูอาการและลักษณะคราบในช่องปาก อย่างไรก็ตาม อาจมีการยืนยันการวินิจฉัยโดย:

การขูดหรือป้ายเก็บตัวอย่างคราบขาว: นำไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาเชื้อรา Candida

การส่งเพาะเชื้อ: ในบางกรณีที่การวินิจฉัยไม่ชัดเจน หรือต้องการระบุชนิดของเชื้อรา

การส่องกล้อง (Endoscopy): หากสงสัยว่าเชื้อราลุกลามลงไปในหลอดอาหาร


การรักษา

การรักษาโรคเชื้อราในช่องปากมักจะทำได้ง่ายและได้ผลดี โดยส่วนใหญ่ใช้ยาต้านเชื้อรา:


ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ (Topical Antifungals):

ยาเจลป้ายปาก (Oral gel): เช่น Miconazole nitrate gel หรือ Nystatin oral suspension (ยาน้ำแขวนตะกอน) โดยให้ป้ายหรืออมกลั้วปากแล้วกลืน

ยาอม (Troches/Lozenges): เช่น Clotrimazole lozenges

โดยทั่วไปจะใช้ยาเหล่านี้วันละ 3-5 ครั้ง นาน 7-14 วัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์


ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน (Oral Antifungals):

ในกรณีที่อาการรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อยาเฉพาะที่ หรือมีการลุกลามลงไปในหลอดอาหาร หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เช่น Fluconazole

การรักษาสาเหตุ: การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน, ปรับยาที่กดภูมิคุ้มกัน (หากทำได้), หรือดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดีขึ้น


การป้องกัน

การป้องกันโรคเชื้อราในช่องปากทำได้โดยการดูแลสุขภาพช่องปากและร่างกายให้แข็งแรง:

รักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน

ทำความสะอาดฟันปลอม: ถอดฟันปลอมมาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ แช่น้ำยาทำความสะอาดฟันปลอม และไม่ควรใส่ฟันปลอมนอน

กลั้วปากหลังใช้ยาสเตียรอยด์แบบพ่น: หากใช้ยาพ่นสเตียรอยด์สำหรับโรคหอบหืด ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังพ่นยา เพื่อลดปริมาณยาตกค้างในช่องปาก

ควบคุมโรคประจำตัว: ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่:

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ดื่มน้ำให้เพียงพอ: เพื่อป้องกันภาวะปากแห้ง

ปรึกษาแพทย์: หากมีภาวะปากแห้งเรื้อรัง


หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นเชื้อราในช่องปาก ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้อาการแย่ลง หรือลุกลามได้ค่ะ