ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคหัด (Measles) โรคหัด (Measles) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากเชื้อ Measles virus (ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Morbillivirus) เป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก จัดเป็นโรคที่เคยระบาดไปทั่วโลกก่อนที่จะมีวัคซีน การติดเชื้อหัดในผู้ใหญ่หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การติดต่อ
โรคหัดเป็นโรคที่ ติดต่อกันได้ง่ายมาก (Highly contagious) ผ่านทางอากาศ โดยการได้รับละอองฝอยขนาดเล็กจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยไอ จาม พูดคุย หรือหายใจ เชื้อไวรัสจะฟุ้งกระจายออกมาในอากาศ ละอองฝอยเหล่านี้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง (สูงสุด 2 ชั่วโมงในพื้นที่ที่ผู้ป่วยเคยอยู่) และตกลงบนพื้นผิวต่างๆ
ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนที่ผื่นจะปรากฏขึ้น และต่อเนื่องไปอีก 4 วันหลังผื่นขึ้น นี่คือเหตุผลที่ทำให้การแพร่กระจายของโรคทำได้ง่าย เพราะผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนที่จะรู้ตัวว่าป่วย
อาการของโรคหัด
อาการของโรคหัดมักจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ:
ระยะอาการนำ (Prodromal Phase):
เริ่มด้วยอาการคล้ายไข้หวัดประมาณ 2-4 วัน
ไข้สูง: ไข้จะค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ
น้ำมูกไหล:
ไอแห้งๆ:
ตาแดง ตาแฉะ แสบตา: อาจมีอาการไวต่อแสง
จุดคอปลิก (Koplik's Spots): เป็นจุดสีขาวอมเทาขนาดเล็ก มีขอบแดง ปรากฏขึ้นที่กระพุ้งแก้มตรงข้ามฟันกรามซี่ใน มักจะขึ้นในช่วง 2-3 วันแรกของโรคและหายไปเมื่อผื่นขึ้น เป็นอาการจำเพาะของโรคหัดที่สำคัญ
ระยะออกผื่น (Rash Phase):
หลังจากมีไข้สูง 3-4 วัน ผื่นจะเริ่มปรากฏ
ลักษณะผื่น: เป็นผื่นนูนแดงคล้ายปื้น อาจมีอาการคันร่วมด้วย
ลำดับการขึ้นของผื่น: มักจะเริ่มขึ้นที่บริเวณ ไรผม ใบหน้า (โดยเฉพาะหลังหูและหน้าผาก) ก่อน แล้วค่อยๆ ลามลงมาตามลำคอ ลำตัว แขน และขา ผื่นจะกระจายทั่วร่างกายใช้เวลาประมาณ 2 วัน
ในช่วงที่ผื่นขึ้น ไข้จะยังคงสูงอยู่ และอาการโดยรวมจะแย่ลง
ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase):
เมื่อผื่นกระจายทั่วร่างกายแล้ว ไข้จะเริ่มลดลง และผื่นจะค่อยๆ จางหายไปตามลำดับที่ขึ้น โดยอาจทิ้งรอยคล้ำคล้ายรอยกระ หรือมีขุยลอกบางๆ
อาการอื่นๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด
แม้ว่าในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายได้เอง แต่โรคหัดสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและเป็นอันตราย ได้แก่:
ปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในเด็กเล็ก
สมองอักเสบ (Encephalitis): เกิดขึ้นในประมาณ 1 ใน 1,000 รายที่ป่วยเป็นหัด อาจนำไปสู่ภาวะชัก หูหนวก หรือความพิการทางสติปัญญาถาวร
หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media): ทำให้มีอาการปวดหู
ท้องร่วงรุนแรง (Severe Diarrhea) และภาวะขาดน้ำ:
ตาบอด: พบน้อย แต่สามารถเกิดขึ้นได้
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องชั่วคราว: การติดเชื้อหัดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงชั่วคราว (หรือที่เรียกว่า "immune amnesia") ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่ายขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปี
ในหญิงตั้งครรภ์: หากติดเชื้อหัดขณะตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย (แต่ไม่ได้เป็นกลุ่มอาการหัดเยอรมันแต่กำเนิดเหมือน Rubella)
SSPE (Subacute Sclerosing Panencephalitis): เป็นภาวะสมองเสื่อมที่รุนแรงและหายากมาก เกิดจากไวรัสหัดยังคงอยู่ในสมองเป็นเวลานานหลายปีหลังจากติดเชื้อครั้งแรก มักจะเกิดขึ้น 7-10 ปีหลังจากการติดเชื้อหัดในวัยเด็ก
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคหัดโดย:
การซักประวัติและตรวจร่างกาย: โดยเฉพาะการสังเกตลักษณะผื่นและจุดคอปลิก
การตรวจเลือด: เพื่อหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัด (IgM Measles Antibody) ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อเฉียบพลัน หรือตรวจหา IgG Measles Antibody เพื่อดูภูมิคุ้มกันในร่างกาย
การเก็บตัวอย่างจากระบบทางเดินหายใจ: เช่น น้ำมูก หรือปัสสาวะ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส
การรักษา
ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับโรคหัด การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน:
การให้ยาลดไข้: เช่น ยาพาราเซตามอล (ห้ามใช้แอสไพรินในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของ Reye's Syndrome)
การดูแลอาการทั่วไป: ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำความสะอาดตาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น
ให้วิตามินเอเสริม: ในผู้ป่วยเด็ก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากวิตามินเอช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตจากหัดและภาวะแทรกซ้อนได้
การรักษาภาวะแทรกซ้อน: หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูอักเสบ แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อน
การป้องกัน
วิธีป้องกันโรคหัดที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนรวมป้องกัน 3 โรค:
ในเด็ก: โดยทั่วไปจะฉีด 2 เข็มตามกำหนดการฉีดวัคซีนพื้นฐาน:
เข็มที่ 1: เมื่ออายุ 9-12 เดือน
เข็มที่ 2: เมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง
ในผู้ใหญ่: ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นหัด หรือไม่เคยได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ควรพิจารณาฉีดวัคซีน MMR เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ:
ผู้ป่วยควรหยุดเรียน/หยุดงาน: และแยกตัวจากผู้อื่น อย่างน้อย 4 วันนับจากวันที่ผื่นปรากฏขึ้น หรือจนกว่าแพทย์จะยืนยันว่าไม่แพร่เชื้อแล้ว
สวมหน้ากากอนามัย:
ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม: ใช้กระดาษทิชชูและทิ้งลงถังขยะทันที
ล้างมือบ่อยๆ:
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด: กับทารก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ
โรคหัดยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เข้าถึงวัคซีนได้น้อย ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุดในการควบคุมและกำจัดโรคนี้