การไอเสมหะขณะที่ได้รับอาหารสายยาง การไอเสมหะในขณะที่ผู้ป่วยได้รับอาหารทางสายยาง เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญและอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากมักบ่งชี้ถึง ภาวะสำลัก (Aspiration) หรือ อาหารไหลย้อนกลับ (Reflux) ซึ่งอาจทำให้อาหารหรือน้ำย่อยเข้าสู่ปอดและนำไปสู่ ปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia) ได้ค่ะ
🚨 สาเหตุหลักของการไอเสมหะขณะได้รับอาหารสายยาง
อาการไอเสมหะหรือไอขณะให้อาหาร ไม่ได้เกิดจากการสำลักอาหารเข้าไปโดยตรงเสมอไป แต่อาจมีสาเหตุหลักดังนี้:
การสำลักเล็กน้อย (Microaspiration): แม้จะใส่สายยางแล้ว แต่ผู้ป่วยอาจมีปัญหาการกลืน น้ำลาย หรือ ของเหลวที่ไหลย้อนกลับ จากกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดลมได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบาก
อาหารไหลย้อนกลับ (Gastroesophageal Reflux - GER): อาหารไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นมาสู่หลอดอาหารและลำคอ ซึ่งมักเกิดจากการให้อาหารเร็วเกินไป, ปริมาณมากเกินไป, หรือการจัดท่าที่ไม่ถูกต้อง
สายยางระคายเคือง: สายยาง (โดยเฉพาะ NG Tube) อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุคอหอยและหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคันคอหรือไอเพื่อพยายามขับเสมหะหรือสิ่งที่ระคายเคืองออก
อาหารค้างในกระเพาะอาหารมาก (High GRV): เมื่ออาหารค้างมาก จะเพิ่มความดันในกระเพาะอาหารและเพิ่มโอกาสในการอาเจียนหรือไหลย้อนกลับ
🛠️ วิธีจัดการและแก้ไขอาการไอเสมหะ
เมื่อผู้ป่วยไอหรือมีเสมหะเพิ่มขึ้นขณะได้รับอาหารสายยาง ให้ดำเนินการดังนี้:
1. การดำเนินการทันที
หยุดให้อาหารทันที: ปิดจุกสายยางทันทีเพื่อหยุดการไหลของอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร
จัดท่า: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยอยู่ในท่า ศีรษะสูง 30–45 องศา (หรือสูงกว่า)
ดูดเสมหะ: หากมีเสมหะหรือของเหลวในช่องปาก ให้ใช้เครื่องดูดเสมหะ (ถ้ามี) หรือผ้าก๊อซเช็ดออก เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
2. การป้องกันในมื้อถัดไป
ควบคุมความเร็ว: ลดอัตราการไหลของอาหารลง (ให้นานขึ้น) เพื่อลดแรงดันในกระเพาะอาหาร
ตรวจสอบอาหารค้าง (GRV): ตรวจสอบปริมาณอาหารค้างในกระเพาะอาหารก่อนมื้อถัดไป หากปริมาณสูง ห้ามให้อาหาร และปรึกษาพยาบาลหรือแพทย์
ปรึกษาแพทย์: หากอาการไอเสมหะยังคงอยู่และรุนแรง อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อ:
พิจารณาให้ ยาช่วยลดกรดหรือยาช่วยเร่งการบีบตัวของกระเพาะอาหาร
พิจารณาเปลี่ยนไปใช้ สายยางที่สอดเข้าสู่ลำไส้เล็ก (Jejunostomy Tube) แทน เพื่อเลี่ยงกระเพาะอาหาร
ข้อควรจำ: อาการไอเสมหะหลังได้รับอาหารทางสายยางถือเป็นสัญญาณอันตราย ควรจดบันทึกความถี่ ความรุนแรง และเวลาที่เกิดอาการ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ทีมแพทย์ในการปรับแผนการรักษาต่อไปค่ะ